หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: สตาร์ทอย่างไร? ช่วยถนอมรถยนต์  (อ่าน 10 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 12 มี.ค. 21, 16:28 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 

ขั้นตอนสตาร์ทอย่างถูกวิธี

1. เมื่อจะสตาร์ทรถ ตำแหน่งเกียร์ควรอยู่ในตำแหน่ง P และสำรวจก่อนว่า ไม่คร่อมเกียร์ระหว่างตำแหน่ง P กับ R เพราะอาจทำให้รถเคลื่อนตัวจนนำไปสู่อุบัติเหตุได้หากเข้าเกียร์ผิด

2. เสียบกุญแจสตาร์ท เมื่อเราเสียบกุญแจเข้าไป ตำแหน่งแรกคือ Lock ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เวลาเราดับเครื่องยนต์สนิท จากนั้นบิดไปทางขวาที่ตำแหน่ง ACC ตำแหน่งนี้เป็นการเปิดระบบไฟฟ้าในรถให้ทำงาน บิดไปทางขวาอีกครั้งคือ On เตรียมพร้อมในการ สตาร์ทรถ ควรบิดกุญแจไปตำแหน่ง ON และทิ้งไว้เล็กน้อยก่อนสตาร์ท ตรวจสอบไฟเตือน ไฟแสดงสถานะของระบบต่างๆ ให้โชว์บนหน้าปัดครบและดับลง ตรวจเช็คไฟเตือนต่างๆ (รายละเอียดให้ศึกษาจากคู่มือรถ) และเพื่อทำให้มั่นใจว่า มีน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบ

3. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแอร์ วิทยุ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อให้ได้กำลังไฟสูงสุดจากแบตเตอรี่ จ่ายไปยังระบบสตาร์ท เพราะการเปิดอุปกรณ์จะเป็นการเพิ่มภาระให้มอเตอร์สตาร์ทและเครื่องยนต์ให้ทำงานหนัก ส่งผลให้เกิดการสึกหรอมากขึ้น และในกรณีที่แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมอาจทำให้ไม่มีกำลังไฟเพียงพอในการสตาร์ทเครื่องยนต์

4. หมุนกุญแจสตาร์ทตำแหน่งสุดท้าย ตำแหน่ง Start เครื่องยนต์จะทำงาน ไม่ควรสตาร์ทแช่ยาว เมื่อรถสตาร์ทติดยากไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ควรหลักเลี่ยงการสตาร์ทแช่ยาวเกิน 15 วินาที เพราะจะส่งผลให้มอเตอร์สตาร์ทเสียหายได้ นอกจากนี้ต้องเว้นระยะห่างในการสตาร์ทครั้งต่อ 15 วินาทีเป็นอย่างน้อย

5. อุ่นเครื่องยนต์สักพัก หลังจากที่ สตาร์ทรถ แล้วไม่ควรขับทันที เพราะระบบไฟฟ้า ระบบน้ำมันเครื่อง และระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ การขับรถออกทันทีหลังจากสตาร์ทบ่อยครั้ง อาจทำให้ระบบเสียหายได้ ควรวอร์มเครื่องยนต์ประมาณ 5 -10 นาทีก่อนขับ หรือให้สัญญาณเตือน ไฟรูปเทอร์โมมิเตอร์บนหน้าปัดหายไป แสดงว่าตอนนี้อุณหภูมิเครื่องยนต์วอร์มเต็มที่แล้วพร้อมขับได้

6. เมื่อถึงที่หมายไม่ควรดับเครื่องทันที เดินเครื่องยนต์เบาไปก่อนสักนาทีเเล้วค่อยปิด การดับเครื่องยนต์ก็ต้องทำด้วยวิธีที่ถูกต้อง เมื่อถึงที่หมายควรเดินเครื่องยนต์เบาทิ้งไว้สักหนึ่งนาที เพื่อให้อุณหภูมิของเครื่องยนต์ลดลงหลังจากขับมาเป็นเวลานาน


ขั้นตอนสตาร์ทอย่างถูกวิธี

1. เมื่อจะสตาร์ทรถ ตำแหน่งเกียร์ควรอยู่ในตำแหน่ง P และสำรวจก่อนว่า ไม่คร่อมเกียร์ระหว่างตำแหน่ง P กับ R เพราะอาจทำให้รถเคลื่อนตัวจนนำไปสู่อุบัติเหตุได้หากเข้าเกียร์ผิด

2. เสียบกุญแจสตาร์ท เมื่อเราเสียบกุญแจเข้าไป ตำแหน่งแรกคือ Lock ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เวลาเราดับเครื่องยนต์สนิท จากนั้นบิดไปทางขวาที่ตำแหน่ง ACC ตำแหน่งนี้เป็นการเปิดระบบไฟฟ้าในรถให้ทำงาน บิดไปทางขวาอีกครั้งคือ On เตรียมพร้อมในการ สตาร์ทรถ ควรบิดกุญแจไปตำแหน่ง ON และทิ้งไว้เล็กน้อยก่อนสตาร์ท ตรวจสอบไฟเตือน ไฟแสดงสถานะของระบบต่างๆ ให้โชว์บนหน้าปัดครบและดับลง ตรวจเช็คไฟเตือนต่างๆ (รายละเอียดให้ศึกษาจากคู่มือรถ) และเพื่อทำให้มั่นใจว่า มีน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบ

3. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแอร์ วิทยุ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อให้ได้กำลังไฟสูงสุดจากแบตเตอรี่ จ่ายไปยังระบบสตาร์ท เพราะการเปิดอุปกรณ์จะเป็นการเพิ่มภาระให้มอเตอร์สตาร์ทและเครื่องยนต์ให้ทำงานหนัก ส่งผลให้เกิดการสึกหรอมากขึ้น และในกรณีที่แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมอาจทำให้ไม่มีกำลังไฟเพียงพอในการสตาร์ทเครื่องยนต์

4. หมุนกุญแจสตาร์ทตำแหน่งสุดท้าย ตำแหน่ง Start เครื่องยนต์จะทำงาน ไม่ควรสตาร์ทแช่ยาว เมื่อรถสตาร์ทติดยากไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ควรหลักเลี่ยงการสตาร์ทแช่ยาวเกิน 15 วินาที เพราะจะส่งผลให้มอเตอร์สตาร์ทเสียหายได้ นอกจากนี้ต้องเว้นระยะห่างในการสตาร์ทครั้งต่อ 15 วินาทีเป็นอย่างน้อย

5. อุ่นเครื่องยนต์สักพัก หลังจากที่ สตาร์ทรถ แล้วไม่ควรขับทันที เพราะระบบไฟฟ้า ระบบน้ำมันเครื่อง และระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ การขับรถออกทันทีหลังจากสตาร์ทบ่อยครั้ง อาจทำให้ระบบเสียหายได้ ควรวอร์มเครื่องยนต์ประมาณ 5 -10 นาทีก่อนขับ หรือให้สัญญาณเตือน ไฟรูปเทอร์โมมิเตอร์บนหน้าปัดหายไป แสดงว่าตอนนี้อุณหภูมิเครื่องยนต์วอร์มเต็มที่แล้วพร้อมขับได้

6. เมื่อถึงที่หมายไม่ควรดับเครื่องทันที เดินเครื่องยนต์เบาไปก่อนสักนาทีเเล้วค่อยปิด การดับเครื่องยนต์ก็ต้องทำด้วยวิธีที่ถูกต้อง เมื่อถึงที่หมายควรเดินเครื่องยนต์เบาทิ้งไว้สักหนึ่งนาที เพื่อให้อุณหภูมิของเครื่องยนต์ลดลงหลังจากขับมาเป็นเวลานาน


ระบบปุ่ม Push Start

ปุ่ม Push Start ถือเป็นการอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่ยุคใหม่ ระบบการทำงานของปุ่ม Push Start ทำงานควบคู่กับกุญแจ Smart Key ซึ่งจะสื่อสารผ่าน Wireless จากกุญแจ หากไม่มีตัว Smart Key ก็จะไม่สามารถปลดล็อค หรือสตาร์ทรถได้ การทำงานของระบบ Push Start จะเริ่มขึ้นเมื่อผู้ใช้รถถือกุญแจ Smart Key เข้ามาในรถ โดยระบบจะสื่อสารกันระหว่างรถยนต์ กับกุญแจ ซึ่งจะต้องเป็นระบบ และกุญแจที่ลงทะเบียนไว้ด้วยกันเท่านั้น ระบบจึงจะพร้อมทำงาน



- เมื่อกดปุ่ม Push Start ครั้งที่ 1 จะเทียบเท่ากับการบิดกุญแจไปที่ ACC สามารถเปิดวิทยุฟังเพลงได้ โดยเครื่องยนต์จะยังไม่เริ่มทำงาน

- เมื่อกดปุ่ม Push Start ครั้งที่ 2 จะเท่ากับการบิดกุญแจไปที่ On ที่สามารถใช้ระบบไฟฟ้าของรถยนต์ได้ อาทิ การใช้กระจกไฟฟ้า การตรวจสถานะไฟต่างๆ บนหน้าปัด

- เมื่อกดปุ่ม Push Start ครั้งที่ 3 พร้อมเหยียบแป้นเบรกด้วย จะเป็นการบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์นั่นเอง


การใช้งานปุ่ม Push Start
ถ้าสตาร์ททันที โดยไม่ทันสังเกตสถานะต่างๆ ก็อาจจะไม่รู้ถึงความผิดปกติของรถที่ใช้งานได้

1. กดปุ่ม Push Start ให้ไฟที่แผงหน้าปัดติด เพื่อเป็นการตรวจเช็คไฟเตือนต่างๆ จากนั้นเมื่อไฟเตือนบางส่วนดับลง

2. กดปุ่ม Push Start อีก 1 ครั้ง ตรวจเช็คสถานะของระบบต่างๆ ของรถก่อนสตาร์ท

3. ให้เหยียบเบรกแล้วกดปุ่ม Push Start อีก 1 ครั้ง เพื่อติดเครื่อง



สิ่งที่สำคัญที่สุดขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน ไม่ควรกดกุญแจลงไปอีก เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้


เสียเวลาอีกเล็กน้อย เพื่อถนอมรถ ด้วยการสตาร์ทอย่างถูกวิธีก็ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ของเราให้สามารถใช้งานได้อีกนาน
และอย่าลืมเตรียมพร้อมกับทุกเหตุการณ์บนท้องถนน ด้วยประกันรถยนต์ สินมั่นคงประกันภัย พร้อมดูแล ด้วยประกันภัยรถยนต์หลากหลาย ราคาไม่แพง สามารถตรวจสอบเบี้ยได้ง่าย แค่คลิก www.smk.co.th/premotor.aspx หรือ โทร. 1596 สินมั่นคงประกันภัย..ประกันรถ ประกันเวลา..

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
Tags:  

หน้า: 1

 
ตอบ
ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:   Go
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม