กลุ่มแพทย์ นักระบาด นักวิจัยนโยบายสาธารณสุข จัดทำข้อสรุปเสนอผู้บริหารกู้วิกฤตโควิด19 ชี้สถานการณ์แพร่ระบาดสายพันธุ์เดลตาลุกลาม ขอ “นายกฯ-ศบค.” ทบทวนพร้อมสั่งใช้ยุทธศาสตร์ฉีดวัคซีนแบบมุ่งเป้าสองระยะ เริ่มในกลุ่มสูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวให้ครบ 15 ล้านคนอย่างช้า 2 เดือนนี้ และมีการติดตามผลความครอบคลุมเฉพาะ 2 กลุ่ม เป็นรายจังหวัดและทั้งประเทศเป็นรายสัปดาห์ ก่อนตัวเลขป่วยและเสียชีวิตพุ่ง 7,500 รายในอีกสามเดือน
จากสถานการณ์โควิดในประเทศไทยที่ระบาดหนักในช่วงที่ผ่านมา และยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง จนเกิดข้อกังวลว่า ในสัปดาห์หน้าตัวเลขผู้ป่วยอาจพุ่งถึง 10,000 ราย เนื่องจากสายพันธุ์โควิดมีการเปลี่ยนแปลงจากอัลฟา (อังกฤษ) เป็นสายนพันธุ์เดลตา(อินเดีย) ซึ่งการแพร่กระจายเร็วกว่าอัลฟา 1.4 เท่า
ล่าสุด ทางทีม “Hfocus” รายงานว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว อาจารย์แพทย์ นักวิชาการ นักระบาดวิทยา และผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้มีการประชุมเพื่อหาทางออก ประกอบด้วย
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข : นพ. คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ นพ. ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์ นพ. ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ นพ. ครรชิต ลิมปกาญจนรัตน์ นพ. ภาสกร อัครเสวี นพ. วินัย สวัสดิวร พญ. สุพัตรา ศรีวณิชชากร นพ. จรุง เมืองชนะ
นักระบาดวิทยาภาคสนาม : พญ. ชุลีพร จิระพงษา พญ. ดารินทร์ อารีโชคชัย นพ. ปณิธี ธัมมวิจยะ ศ.ดร.พญ.ลักขณา ไทยเครือ พญ. วรรณา หาญเชาว์วรกุล พญ. นิธิกุล เต็มเอี่ยม
ด้านการแพทย์การควบคุมโรคติดเชื้อและไวรัสวิทยา : นพ. ขจรศักดิ์ ศิลปโภชากุล รศ. นพ. ทวี โชติพิทยสุนนท์ ศ.นพ. ยง ภู่วรวรรณ ศ.นพ. กำธร มาลาธรรม
นักวิจัยด้านนโยบายและระบบสุขภาพ : นพ. ทักษพล ธรรมรังสี นพ. ยศ ตีระวัฒนานนท์ พญ. อรรถยา ลิ้มวัฒนายิ่งยง นพ. ระพีพงศ์ สุพรรณไชยมาตย์
โดยผู้ที่เกี่ยวข้องข้างต้นได้ร่วมกันประชุมหารือ และเสนอทางออกเพื่อกู้วิกฤตโควิดระบาดหนัก ดังนี้
จากการทบทวนยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนในประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา อิสราเอล พบว่าประเทศส่วนใหญ่ ใช้การฉีดแบบมุ่งเป้าสองระยะ ระยะแรกลดการป่วยหนักการตายเป็นลำดับแรก โดยเร่งฉีดในคนสูงอายุและที่มีโรคประจำตัว และตามด้วยเป้าหมายระยะสองคือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประชากรทั่วไป ซึ่งปัจจุบันประเทศเหล่านี้มีจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมาก อยู่ในจำนวนหลักสิบเท่านั้น แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยโดยรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเริ่มระบาดของสายพันธุ์ Delta
** ผลพวงการเลือกยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีน
ทางเลือกที่หนึ่ง ฉีดแบบเดิมที่มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หรือเร่งฉีดแบบปูพรม จะทำให้กลุ่มสูงอายุและกลุ่มเสี่ยงมีความครอบคลุมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อเดือน หากใช้ทางเลือกนี้ จะยังคงเห็นการตายอย่างน้อยในระดับ 1,500-2,000 กว่ารายต่อเดือน และต้องการเตียงที่ดูแลผู้ป่วยหนักที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวนครองเตียงวิกฤต 42,000 คนต่อวันในเดือนมิถุนายน จะเพิ่มไปเป็นสองเท่า หรือ 85,000 คนในเดือนกันยายน
ทางเลือกที่สอง การฉีดแบบมุ่งเป้าสองระยะ ลดการเจ็บหนักและการตายในกลุ่มเสี่ยง ตามด้วยกลุ่มอื่นๆ
- ระยะแรก (ก.ค. – ส.ค.) เร่งฉีดให้ครอบคลุมกลุ่มสูงอายุและกลุ่มที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่ม ตั้งเป้าครอบคลุมประชากรกลุ่มนี้ร้อยละ 50 ในเดือนกรกฎาคม และร้อยละ 90 ในเดือนสิงหาคม เพื่อฉีดให้ครอบคลุม 16 ล้านคนอย่างน้อยหนึ่งเข็มในสองเดือน โดยกันวัคซีนที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันภายในหนึ่งเดือนหลังเข็มแรก เช่น ฉีดวัคซีน AstraZeneca หรือ วัคซีน mRNA ไว้ อย่างน้อย 7.5 ล้านโดสต่อเดือน (หรือหากเป็นวัคซีนเชื้อตายต้องได้สองเข็ม) และควรรวมถึงคนสูงอายุและโรคเรื้อรังของแรงงานต่างชาติซึ่งมีจำนวนไม่มากตามหลักการสากล ทางเลือกนี้ จะลดการตายตลอดสามเดือนมากกว่าทางเลือกแรก 2,300 ราย (รูปที่ ๑)
ที่สำคัญคือทางเลือกนี้จะรักษาภาระการดูแลผู้ป่วยอาการหนักให้ใกล้เคียงกับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยตลอดสามเดือนจะลดภาระการดูแลผู้ป่วยหนักได้มากกว่าทางเลือกแบบแรก 80,000 คนต่อวัน (รูปที่ ๒) ซึ่งความต้องการเตียงในระดับนี้น่าจะอยู่ในวิสัยที่รองรับได้ ทำให้ระบบการแพทย์ไม่ล่ม และยังสามารถประหยัดงบประมาณการดูแลผู้ป่วยหนักได้อย่างน้อย 500 ล้านบาท ที่สำคัญคือกิจการต่างๆ ดำเนินไปได้ สามารถผ่อนปรน และมีความเป็นไปได้ในการเปิดประเทศ
- ระยะที่สอง (ก.ย. – ธ.ค.) ฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แก่กลุ่มเป้าหมายระยะแรก และเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มประชาชนทั่วไปที่เหลือโดยควรให้ความสำคัญกับกลุ่มอายุ 40-59 ปีก่อน และตามด้วย กลุ่ม 18-39 ปี เนื่องจากจะลดการเจ็บหนักและการตายได้ดีกว่าการฉีดแบบไม่เลือกกลุ่มอายุ และจะตรงกับไตรมาสสี่ที่ประเทศไทยจะมีวัคซีนอีกหลายชนิดและมีปริมาณมากขึ้น ด้วยวิธีการนี้จะได้ผลทั้งการลดการป่วยหนัก การตาย และต่อด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
https://www.hfocus.org/content/2021/07/22165