รูปข้างบน Featuring คุณแม่ของผม และ ญาติของผมครับ อิอิ … หลังคาของ Toyota Prius 2012 ตัวท็อปที่ผมได้รีวิว สามารถเป็นได้ทั้ง Moon Roof (คือเป็นหลังคากระจก เอาไว้ดูดาวได้) หรือจะเป็น Sun Roof ก็ได้ (คือ เปิดกระจกออกไป เพื่อเอาหัวโผล่ออกไปนอกตัวรถก็ได้ … แต่จริงๆ แล้ว ผมว่าน่าจะรีวิวฟีเจอร์นี้เวลาไปเที่ยวทะเลแฮะ … (รอบหน้าเห็นว่าเขาจะไปเกาะช้างกัน แต่ท่าทางผมจะไม่เกี่ยว ฮาฮา) … แต่จุดเจ๋งของหลังคาอันนี้ไม่ได้อยู่แค่ที่ว่ามันเป็นทั้ง Moon Roof กะ Sun Roof หรอกนะครับ มันอยู่ที่เจ้านี่มันเป็นแผงโซล่าร์เซลล์ไปด้วยในตัวอ่ะ
ก็อย่างที่บอกไว้ในตอนที่แล้ว ว่าระบบระบายอากาศตอนจอดรถของเจ้า Toyota Prius เนี่ย ยังเปิดพัดลมระบายอากาศเพื่อระบายความร้อนขณะจอดกลางแดดได้ โดยอาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซล่าร์เซลล์นี่แหละ
หลังคาของ Toyota Prius 2012 ตัวท็อปตัวนี้เป็นโซล่าร์เซลล์
เรื่องเล่าจากประสบการณ์ในการขับ Toyota Prius 2012
ทุกอย่างเริ่มต้นตั้งแต่แรกสัมผัส … ผมหมายถึงแรกสัมผัสจริงๆ นะครับ … กุญแจรถอัจฉริยะเนี่ยทำให้ผมประทับใจมากทีเดียว อย่างที่บอก การรีวิวงวดนี้ Featuring คุณแม่ของผม (ในฐานะคนขับรถกิตติมศักดิ์) และในฐานะสุภาพสตรี ต้องพกกระเป๋าถือใบใหญ่ๆ ครับ
ดูแล้วกันว่ากระเป๋าถือของคุณแม่ผมน่ะ ของเยอะขนาดไหน (เจ้าตุ๊กตาผึ้งนี่ขอบคุณ Toyota Buzz สำหรับของรางวัลนะฮะ)
ดูเอาแล้วกันนะครับ … ผมว่าการที่กระเป๋าถือคุณสุภาพสตรีมีโน่นนี่นั่นเยอะ มันเป็นอะไรที่เป็นสากล (เนอะ) … แล้วถ้าเกิดใส่กุญแจรถยนต์นี่ไว้ในกระเป๋า มันก็ยากที่จะหยิบจะฉวยมาไขกุญแจรถใช่ไหมล่ะ … ระบบกุญแจอัจฉริยะของ Toyota Prius 2012 เนี่ย ก็เลยมาอำนวยความสะดวกตรงนี้แหละครับ ขอแค่มีกุญแจอยู่ใกล้ๆ กับตัวรถในระยะ 2-3 ฟุต ก็สามารถเปิดประตูรถได้เลย
ด้ามจับประตูด้านในมีเซ็นเซอร์สำหรับปลดล็อกประตู ส่วนตรงปลายของด้ามจับ (ซ้ายมือของรูป) มีเซ็นเซอร์สำหรับล็อกประตู
เวลาจะล็อกรถก็ง่าย แค่มีกุญแจติดตัวอยู่ ก็สามารถแตะที่เซ็นเซอร์ล็อกประตูได้เลย (หรือจะกดเอาจากกุญแจก็ได้อ่ะนะ) …
ในฐานะคนนั่ง การจัดพื้นที่นั่งนี่เหลือๆ ครับ ไม่ต้องปรับที่นั่งมาก ก็นั่งได้สบายๆ แล้ว (ส่วนสูงของผมประมาณ 178 ซม.) แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ปรับเลื่อนเข้าเลื่อนออกได้ พนักพิงปรับเอน 180 องศา นอนราบ สำหรับคนที่อยากจะนอนในรถ (เอ๊ะ! ยังไง) หรือกรณีที่พกของยาวๆ (อะไรหว่า) ไว้ในรถก็สบายๆ
ในฐานะคนขับ คุณแม่ผมบอกว่า ขับได้สบายๆ เข้าโค้งแล้ว แน่นมาก ขนาดเข้าโค้งตอนลงจากเขาก็ยังมั่นใจ … จะตงิดๆ หน่อยก็อีตอนที่ต้องเร่งเครื่องขึ้นเนินชันๆ ตอนอยู่ใน ECO Mode เพราะระบบพยายามใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในตอนแรก มันทำให้รู้สึกตื้อๆ
ในฐานะคนชอบเล่น Gadget ก็มีอะไรให้เล่นเยอะดีครับ ทั้งตัว Navigator Display ที่เป็นได้ทั้ง GPS Navigator แต่มีความสามารถเสริมอย่างเช่น การเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นมัลติมีเดียพกพา เพื่อให้เสียงออกมาทางลำโพงรถ (ตัวท็อปเป็นลำโพง JBL 8 จุด … แต่คุณภาพเสียงผมว่ายังธรรมดาๆ นะ) หรือจะเชื่อมต่อกับโทรศัพท์เพื่อจะได้กดปุ่มโทรศัพท์จากหน้าจอสัมผัสของ Navigator Display ได้เลย
เชื่อมโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth แล้ว กดโทรจาก Navigator Display ได้เลย
แล้วก็มีพอร์ต USB สำหรับผู้ใช้อุปกรณ์จำพวก iOS Devices (iPhone/iPod Touch/iPad) ที่ทำหน้าที่เป็น Docking Station ให้เลย เสียบปุ๊บชาร์จแบตเตอรี่ แล้วเข้าโหมด Docking เพื่อเล่นเพลงได้ โดยควบคุมการเล่นได้จาก Navigator Display เลย หน้าปกอัลบั้ม (ถ้ามี) ก็จะมาแสดงให้เห็นด้วย และที่สำคัญ ไม่มีปัญหากับภาษาไทยครับ (แหงดิ เมนูภาษาไทยยังมี) … อันนี้ Featuring @jjetrin ครับ ขอบคุณที่พี่เขาใจดีให้ยืมอัลบั้มมาเป็นตัวอย่างโดยไม่มีค่าตัว (แซวเล่นนะครับ … ไม่ได้ขออนุญาตพี่เขาหรอก) … แต่เจ้าพอร์ตนี่ใช้ชาร์จ Samsung Galaxy Note, HTC EVO 3D กับ Nokia PureView 808 ที่ผมพกมาด้วยไม่ได้แฮะ … แต่ชาร์จ The new iPad ได้นะ
จะ iPhone/iPod Touch หรือ iPad ก็จะกลายเป็น iPod หมด สำหรับ Toyota Prius 2012
ไม่อยากละสายตาจากด้านหน้าไปที่คอนโซลของรถ เจ้า Toyota Prius 2012 นี่มีระบบ HUD (Head Up Display) เพื่อแสดงข้อมูลพวกตัวเลขความเร็ว กราฟแสดงสถานะการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน หรือแม้แต่ลูกศรชี้ทางสำหรับระบบ Navigation (นึกถึงลูกศรแบบเดียวกับตอนเล่นเกมขับรถได้ครับ)
ตัว HUD จะแสดงผลเห็นบนกระจกหน้าได้ โดยจะเห็นเฉพาะผู้ขับรถครับ
ที่ประทับใจที่สุดของ Toyota Prius 2012 นี่ก็คืออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันครับ … ผมไม่รู้หรอกนะว่าผู้ชนะ Eco Challenge เขาทำได้ไง ขับจากกรุงเทพมาที่เขาใหญ่ ใช้น้ำมันไป 7 ลิตรเศษ แต่เอาประสบการณ์ตรงดีกว่าครับ ขับไป 235.6 กิโลเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 19.55 กิโลเมตร/ลิตร เรียกว่า OK เลยนะ สำหรับเครื่อง 1,800 cc ครับ (แต่ผู้ชนะเขาทำได้เกือบ 30 กิโลเมตร/ลิตร อ่ะ) ทั้งๆ ที่ขับแบบเอาสะใจเข้าว่านะครับ จัดไป 110-130 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วแต่สภาพการจราจรจะอำนวย
ตอนขาไปเนี่ย จัด ECO Mode ไปตลอดทางเลย เลยค่อนข้างประหยัดน้ำมัน (ละมั้ง) ดังนั้นตอนขากลับต้องขอทดสอบ Power Mode บ้าง … โหมดนี้จะใช้ทั้งเครื่องยนต์หลักและมอเตอร์ไฟฟ้า ทำงานร่วมกันเลยครับ พลังจะจัดเต็มที่สุดแล้ว … แต่ผลการทดสอบต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนครับ คือ
ส่วนแรก ความรู้สึกในการขับ ไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรไปจาก ECO Mode เลย อันนี้เข้าใจว่า (ผมเข้าใจของผมเองนะ) สภาพของถนนนั้นไม่ได้โหดร้ายขนาดต้องใช้โหมดนี้ เลยทำให้ Power Mode ไม่สามารถแสดงศักยภาพของมันได้ชัดเจน
ส่วนที่สอง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน … แม้ว่าจะไม่ได้แสดงศักยภาพของ Power Mode ชัดเจน แต่แอบสังเกตได้เลยว่าอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันใน Power Mode แอบเพิ่มขึ้นเล็กน้อยครับ … ถ้าเกิดสภาพถนนหฤโหดจนต้องให้ Power Mode สำแดงฤทธิ์ละก็ ผมว่าอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันก็คงจะระดับหนึ่งเลย (แต่ตอบไม่ได้ว่าจะเป็นยังไง เว้นแต่จะได้ลองของจริง)
แต่ถึงตรงนี้ก็ชัดเจนครับ คนทั่วไป ในสภาพการใช้งานตามปกติ และสภาพถนนปกติทั่วไป ใช้ ECO Mode อย่างเดียว ก็เกือบจะเที่ยวทั่วไทยได้แล้วละครับ