ตามไปดูว่าจังหวัดไหนค่าแรงเฉลี่ยต่ำสุด-สูงสุด! และเหตุไฉน? ค่าจ้าง 300 บาท ถึงทำธุรกิจ SME พัง วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 19:30:30 น.
วันที่ 24 ก.ย. ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) เปิดเผยผลการศึกษาเพื่อคาดการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ว่า จากการวิเคราะห์การกระจายตัวของค่าแรงของแรง
งานที่เป็นเยาวชนของไทย พบว่า มีสัดส่วนประมาณ 73% ถึง 77% ของค่าแรงของแรงงานที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับเกณฑ์ที่ได้จากผลการศึกษาในต่างประเทศ
นอกจากนี้ การศึกษายังพบอีกว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั้งประเทศ จะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำคิดเป็น 58.7% ของค่าแรงเฉลี่ยของประเทศ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก และจะกระทบกับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่และภาพรวมของประเทศในช่วง 18 เดือน หลังจากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้า
ประเด็นที่น่าเป็นห่วงในแง่ของภาพรวมของการจ้างงานก็คือ แม้ว่าอัตราการว่างงานของไทยในเดือนกรกฏาคม 2555 จะต่ำเพียง 0.6% แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนภาวะที่แท้จริงของตลาดแรงงาน ซึ่งโดยปกติแล้ว การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายที่มีต่อการจ้างงาน จะใช้อัตราการว่างงานตามนิยามปกติเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีการวิเคราะห์อัตราการว่างงานโดยใช้นิยามการว่างงานอย่างกว้าง หรือผู้ว่างงานบวกผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะตกงานและผู้ที่มีชั่วโมงทำงานต่ำ จะพบว่า อัตราการว่างงานของไทยจะสูงถึง 5.9% คิดเป็น 10 เท่าของอัตราการว่างงานตามนิยามปกติ
จาก 70 จังหวัดที่ทำการศึกษา จังหวัดมีสัดส่วนค่าแรงขั้นต่ำต่อค่าแรงเฉลี่ยสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ นราธิวาส (83.9%) ตาก (79.8%) ลำพูน (78.9%) สระแก้ว (75.9%) ราชบุรี (75.4%) ประจวบคีรีขันธ์ (75.3%) ปัตตานี (74.3%) ลพบุรี (72.7%) หนองบัวลำพู (72.0%) และอ่างทอง (71.9%) เมื่อนำลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของพื้นที่และเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่มาพิจาณาด้วยแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจังหวัดนราธิวาส และปัตตานี อาจจะไม่รุนแรงมากไปกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากนัก
จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ นครพนม (42.5%) ยโสธร (42.6%) ร้อยเอ็ด (45.9%) สกลนคร (47.2%) น่าน (47.6%) กาฬสินธุ์ (48.4%) พัทลุง (49.4%) มุกดาหาร (50.0%) ศรีสะเกษ (50.9%) และพังงา (51.1%)
ที่มา มติชนออนไลน์