"พวกคุณเป็นสัตว์ร้ายทางการเมือง" นายสุเทพกล่าว และว่า คุณคิดว่าประชาชนลืมสิ่งที่คุณทำไปหมดแล้ว ซึ่งไม่ใช่ ตนขอประกาศแทนได้ว่า คนนางเลิ้ง หมอโรงพยาบาลจุฬาฯ คนราชดำเนิน คนสีลม คนฝั่งธนบุรี ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีวันลืมพวกคุณ
นายสุเทพกล่าวว่า พล.ต.อ.พงศพัศเหมือนพระเอกหนังตะลุง จะคอยถูกชักไยจากแดนไกล การเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนศึกชิงเมืองหลวง ถ้าเขายึดได้ ปักษ์ใต้บ้านผมก็เอาไม่อยู่" (สัตว์ร้ายการเมือง "เทือก" ถล่มแดงเผาเมือง เดิมพันยึด กทม. ได้ใต้ไม่เหลือ, http://www.thaipost.net/sunday/240213/70032)
คนเชียงใหม่อย่างฉันติดตามข่าวการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน
เช่น ทำไมข่าวการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ จึงสามารถยึดครองพื้นที่สื่อราวกับมันเป็นการเมืองระดับชาติ
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ สะท้อนภาพการเมืองระดับชาติทั้งหมดได้จริงหรือเราคิดกันเอาเอง?
หรือถึงที่สุดแล้วเราคิดว่ากรุงเทพฯ คือประเทศไทย ประเทศคือกรุงเทพฯ ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่กรุงเทพฯ จึงส่งผลกระทบไปทั้งประเทศ
ทำไม มีแต่ กทม. เท่านั้นที่ได้เลือกตั้งผู้ว่าฯ
ทำไมเมื่อจังหวัดอื่นๆ อยากออกจาก "มหาดไทย" ไปเลือกตั้งผู้ว่าฯ เองบ้างกลับถูกมองว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่รักความเป็นไทย ไม่สามัคคี สร้างความแตกแยก แข็งข้อ แน่ใจได้อย่างไรว่ามีปัญญาปกครองตัวเอง แน่ใจได้อย่างไรว่าเมืองทั้งเมืองจะไม่ไปตกอยู่ในมือของมาเฟีย นายทุน นักการเมืองท้องถิ่น
ประเทศไทยจึงมีโครงสร้างการบริหารประเทศที่แปลกๆ นั่นคือ (นอกจากพัทยา) เรามีกรุงเทพฯ เป็นหน่วยการปกครองพิเศษ มีผู้ว่าฯ เป็นของตนเองที่มาจากการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน มีรัฐบาลกลางที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเทพฯ (รัฐสภา, กองทัพ, ศาล) ปกครองและบริหารราชการทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยผ่านกระทรวงมหาดไทย; ข้าราชการ งบประมาณ, นโยบาย
แม้การปกครองส่วนท้องถิ่นจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่การปกครองส่วนภูมิภาคที่มีประมุขคือผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เรื่อยลงมาจนถึงระดับผู้ใหญ่บ้านเปรียบเสมือนตัวแทนทางสัญลักษณ์ของอำนาจ "รัฐบาลกลาง" ยังคงดำรงอยู่
ราวกับไม่มั่นใจว่า "หัวเมืองประเทศราช" ที่ตกเป็นของสยามอย่างหลวมๆ เมื่อร้อยกว่าปีก่อนนั้น ได้ตกเป็นของสยามโดยเด็ดขาด สิ้นเชิงแล้วหรือยัง?
ปัญหาที่สำคัญมากปัญหาหนึ่งของสังคมไทยคือการไม่ยอมรับ "ความใหม่" ของตนเอง สังคมไทยไม่เคยยอมรับว่าประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์แบบเมื่อเราได้เอกราชทางการศาลในปี 2481
สังคมไทยไม่ยอมรับว่าประเทศไทยตามแผนที่อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั้นเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว
สังคมไทยไม่ยอมรับว่าสำนึกแห่งความเป็นไทยที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ไม่เกิน 70 ปี
ไม่ยอมรับว่าภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นของใหม่ถูก standardized หรือทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อเป็นภาษาของรัฐชาติที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่
เมื่อเราไม่ยอมรับว่าประเทศไทย ชาติไทย และความเป็นไทย ที่เป็นรูปขวานทองอยู่ทุกวันนี้เพิ่งจะก่อร่างสร้างตัวมาไม่นาน ไม่ได้แน่นแฟ้น รักกันปานจะกลืน ไม่ได้เข้ามารวมกันแบบสมัครใจในทุกกรณี เพราะหลายๆ กรณีก็ไม่รู้ตัวว่าถูกผนวกมาตอนไหน อย่างไร เพราะสำนึกเรื่องรัฐ และดินแดน "ผุด" ขึ้นมาในแต่ละท้องถิ่นไม่พร้อมกัน รู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว"-กลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยไปแล้ว
จากนั้นก็เข้าสู่การเรียนภาษาไทยมาตรฐาน
รับ "สื่อมวลชน" มาตรฐานจากส่วนกลาง เรียนหนังสือหลักสูตรจากส่วนกลางที่สอนเราว่าประเทศไทยนี้หนามีมาอย่างน้อย 700 ปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จากนั้น วิชาประวัติศาสตร์ก็สอนกล่อมให้เราหลงเชื่อว่า เราเหล่าคนไทยในเจ็ดสิบกว่าจังหวัดเป็นคนไทยอยู่ด้วยกันอย่างนี้มาตาปีตาชาติ รู้รักสามัคคีมาด้วยกันตั้งแต่สมัยรบพม่ารามัญนู่น