กสทช.และกระทรวงไอซีทีหารือภายหลังสัมปทานคลื่น 1800 หมดสัมปทานในวันที่ 15 กันยายนนี้ โดยกสทช.ยืนยันคลื่นความถี่ที่หมดสัมปทานต้องนำมาจัดสรรด้วยการประมูลเท่านั้น
นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที และ พลอากาศเอกธเรศ ปุณศรี ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดเผยภาหลังผลการหารือกรณีการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ หลังจากที่ทรูมูฟและดิจิตอลโฟน จะหมดสัญญาสัมปทานกับบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 15 กันยายนนี้
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ระบุว่า ได้รับทราบแนวทางการปฏิบัติของกสทช. กรณีการออกประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ ร่างประกาศห้ามซิมดับ ซึ่งกสทช.ยืนยันว่า การออกประกาศดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และครอบคลุมความรับผิดชอบทั้ง ผู้ให้สัมปทานและผู้รับสัมปทาน รวมทั้งเงินรายได้ในการให้บริการช่วงเวลาเยียวยา 1 ปีนั้นจะเป็นรายได้ของแผ่นดินหลังหักค่าใช้จ่าย ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน หรือเป็นการขยายเวลาสัมปทานแต่อย่างใด
โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการกำหนดต้นทุน การให้บริการ ทั้งของกสท. ทรูมูฟ และดีพีซี จำนวน 5 คนพิจารณา
นอกจากนี้ หลังมาตรการเยียวยามีผลบังคับใช้ จะต้องทำแผนคุ้มครองผู้ใช้บริการภายใน 15 วัน ทั้งกำหนดจำนวนผู้ใช้บริการ เงินตงค้างในระบบ และแผนการประชาสัมพันธ์ที่ต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทั้ง 17 ล้านรายทราบ ผ่านทางเอสเอ็มเอส และช่องทางอื่นๆ รวมทั้งการโอนย้ายเลขหมายต่างๆ จะแล้วเสร็จเมื่อใด และต้นทุนการให้บริการ ส่งให้สำนักงาน กสทช.รับทราบ โดยยืนยันว่า ประชาชนผู้ใช้บริการจะไม่ได้รับผลกระทบ หรือ เกิดซิมดับแต่อย่างใด
ทั้งนี้ กสทช.ยืนยันว่า หลังจากสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงแล้ว จะต้องมีการคืนคลื่นความถี่ให้กับกสทช. เพื่อจัดสรรด้วยวิธีการประมูลเท่านั้น ซึ่งทางกระทรวงไอซีที จะมีการพิจารณาเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจในสังกัด รวมทั้งเป็นสิทธิของสหภาพแรงงานและรัฐวิสาหกิจนั้นๆที่อาจมีการฟ้องร้องรักษาสิทธิ
นอกจากนี้ กสทช.และกระทรวงไอซีที เตรียมตั้งคณะทำงานหารือกรณีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ กสทช. รวมทั้งกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรทัศน์ ที่อาจไม่สมบูรณ์ หรือมีปัญหา มาหารือเพื่อเสนอขอแก้ไขกับกฎหมายกับรัฐบาลต่อไป
ที่มา : http://news.voicetv.co.th/business/80229.html