ผลิตภัณฑ์ RePneu Coil ของบริษัท PneumRx, Inc. กลายเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองขั้นรุนแรง
PneumRx, Inc. ผู้นำด้านการรักษาโรคระบบการหายใจ ประกาศว่า ผลิตภัณฑ์ RePneu Lung Volume Reduction Coil (LVRC) ของบริษัท ถูกนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองขั้นรุนแรงแล้วกว่า 1,500 ครั้ง
RePneu LVRC เป็นเครื่องมือรักษาแบบที่ทำให้เกิดแผลน้อยที่สุด ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูการทำงานของปอด ความสามารถในการออกกำลังกาย และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง ด้วยการสอดกล้องเข้าไปทางหลอดลมเพื่อฝังขดลวดไนทินอล (Nitinol coil) เข้าไปในปอด เพื่อบีบอัดเนื้อเยื่อที่เสียหาย ฟื้นฟูแรงคืนตัวของปอด และฟื้นฟูความตึงตัวของทางเดินหายใจ วิธีนี้ถือเป็นการรักษาที่ทำให้เกิดแผลน้อยที่สุดและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในวงกว้าง
RePneu LVRC ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด โดยถูกนำไปใช้รักษาแล้วกว่า 1,500 ครั้ง ซึ่งมีการใช้ขดลวดกว่า 15,000 อัน แม้ว่าผลิตภัณฑ์นี้จะเพิ่งวางตลาดแค่ 2 ปีกว่าเท่านั้น ปัจจุบันผลิตภัณฑ์นี้วางตลาดในเยอรมนี อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และตุรกี ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศสได้เลือกผลิตภัณฑ์นี้เพื่อนำมาศึกษาความคุ้มค่าและประสิทธิภาพที่ศูนย์หลายแห่งในฝรั่งเศส โดยเปิดรับผู้ป่วยกว่า 75 คนเข้าร่วมการศึกษาที่มีชื่อว่า REVOLENS ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 และคาดว่าการเปิดรับผู้ป่วยจะเสร็จสิ้นก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนด
RePneu LVRC กลายเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในยุโรปอย่างรวดเร็ว เพราะสามารถรักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในวงกว้างได้โดยไม่ต้องทำการประเมินวินิจฉัยที่ซับซ้อน RePneu Coil ไม่กีดขวางทางเดินหายใจ ไม่กีดขวางการเข้าถึงหลอดลมส่วนปลาย และไม่ทำลายเนื้อเยื่อปอด แต่จะมีกลไกซึ่งออกแบบมาเพื่อรักษาอาการที่เกิดจากโรคถุงลมโป่งพองและแก้ปัญหาต่างๆที่พบในการรักษาโรคถุงลมโป่งพอง ในการประชุมสมาคมโรคทางเดินหายใจแห่งยุโรป (ERS) ครั้งล่าสุดที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน มีการนำเสนอข้อมูลว่า RePneu Coil มีศักยภาพอันโดดเด่นในการรักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองทั้งแบบ heterogeneous และ homogeneous ทั้งในปอดกลีบบนและกลีบล่าง ในผู้ป่วยที่มีปริมาตรอากาศตกค้างในปอด 175% และสูงกว่านั้น นอกจากนี้ RePneu LVRC ยังทำงานเป็นอิสระจากกระบวนการ collateral ventilation ขณะที่การใส่สามารถทำได้อย่างนุ่มนวล มีความทนทาน และผู้ป่วยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีการนำ RePneu Coil ไปใช้อย่างกว้างขวางในเนเธอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร โดยดร.เดิร์ก-แจน สเลบอส (Dr. Dirk-Jan Slebos) จาก University Medical Center ในเมืองโกรนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ใส่ขดลวดกว่า 1,000 อันให้กับผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง และคาดว่าในปีนี้จะทำการรักษาผู้ป่วย 40 รายในการศึกษา RENEW ในศูนย์หลายแห่งที่มีผู้ป่วยรวม 315 ราย และผลการศึกษาจะถูกนำมายื่นเพื่อขออนุญาตวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ RePneu LVRC ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ดร.พัลลาฟ ชาห์ (Dr. Pallav Shah) จาก Royal Brompton and Hareford National Hospital Trust และ Chelsea and Westminster National Hospital Trust ในลอนดอน สหราชอาณาจักร ยังเข้าร่วมการศึกษา RENEW ด้วย ก่อนหน้านี้ดร.ชาห์เคยมีส่วนร่วมในการศึกษา LVRC แบบสุ่ม มีกลุ่มควบคุม และทำในศูนย์หลายแห่งในสหราชอาณาจักร (การศึกษา RESET) ซึ่งผลการศึกษาได้รับการเผยแพร่ในปีนี้ทางวารสาร Lancet Respiratory การศึกษาครั้งนั้นมีการค้นพบหลายประเด็น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย RePneu LVRC มีอาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งทางสถิติและทางคลินิก ทั้งในแง่ของความสามารถในการออกกำลังกาย (จากการทดสอบระยะทางการเดินในเวลา 6 นาที หรือ 6MWT) การทำงานของปอด (จากการทดสอบสมรรถภาพปอด หรือ FEV1) และคุณภาพชีวิต (จากการทำแบบสอบถามด้านการหายใจของเซนต์จอร์จ หรือ SGRQ) เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดแต่ไม่ได้ใส่ LVRC โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย RePneu LVRC สามารถเดินได้กว่า 63 เมตรโดยเฉลี่ยในเวลา 6 นาที ซึ่งถือว่าดีกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดเพียงอย่างเดียว
การที่เทคโนโลยี RePneu LVRC ถูกนำไปใช้อย่างรวดเร็วทำให้ได้ข้อมูลใหม่ๆที่บ่งชี้ว่า RePneu Coil มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในวงกว้าง ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ได้รับการนำเสนอไปเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ที่การประชุม ERS โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ 7 ท่านจากเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ ได้นำเสนอผลการศึกษาที่บ่งชี้ว่าเทคโนโลยี RePneu LVRC มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การประชุมสัมมนาย่อยว่าด้วยเทคโนโลยี RePneu LVRC ซึ่งมีการนำเสนอข้อมูลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจจากเยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ยังได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเช่นกัน