กรดไหลย้อน (Gerd) โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) มีปัจจัยสำคัญจากการไหลย้อนกลับของกรด หรือน้ำย่อยในกระเพาะ ทำให้อาหารย้อนไปขึ้นไปอยู่ในหลอดอาหารส่วนบนพบได้ทั้งยังในเด็กแล้วก็ผู้ใหญ่ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในตอนกลางวันและช่วงเวลากลางคืน หรือแม้แต่เวลาที่ไม่ได้ทานอาหารก็ตาม
โรคกรดไหลย้อนแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ * โรคกรดไหลย้อนธรรมดา คือ โรคที่กรดไหลย้อนขึ้นมาจะอยู่แค่ภายในหลอดอาหาร จะไม่ไหลย้อนขึ้นเกินหูรูดหลอดอาหารส่วนบน จำนวนมากจะมีลักษณะอาการเพียงแค่บริเวณหลอดอาหารเพียงแค่นั้น
* โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง เป็น โรคที่มีอาการทางคอรวมทั้งกล่องเสียง จากการไหลย้อนกลับของกรดขึ้นมาเหนือหูรูดหลอดอาหารส่วนบนอย่างแตกต่างจากปกติ ทําให้มีการเคืองของคอรวมทั้งกล่องเสียง
สาเหตุของกรดไหลย้อน สาเหตุที่นำไปสู่โรคกรดไหลย้อน มี 3 สาเหตุหลักด้วยกัน แล้วก็สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆที่ทำให้มีการเกิดอาการกรดไหลย้อนได้ ดังต่อไปนี้
*
หูรูดด้านล่างของหลอดอาหารแตกต่างจากปกติ โดยมากเจอในคนวัยแก่ เพราะว่าหูรูดหมดสภาพไปตามช่วงวัยและก็อายุที่มากขึ้น ก็เลยทำให้อาหารรวมทั้งน้ำย่อยในกระเพาะถูกดันกลับขึ้นมาในหลอดอาหารได้ง่ายทำให้มีอาการกรดไหลย้อน
*
กระเพาะอาหารบีบตัวต่ำลง ทำให้อาหารรวมทั้งน้ำย่อยที่ย่อยแล้วคั่งอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลานาน เนื่องด้วยไม่อาจจะบีบตัวให้ลงสู่ไส้ได้หมดในทันที เป็นผลให้เกิดแรงกดดันในกระเพาะอาหารเยอะขึ้นทำให้หูรูดถูกดันเปิดออกและก็ดันเอาอาหารแล้วก็น้ำย่อยย้อนไปขึ้นไปในหลอดอาหารนั่นเอง
*
ความผิดปกติสำหรับการบีบตัวของหลอดอาหาร ทำให้อาหารที่รับประทานลงไป เคลื่อนเข้าสู่กระเพาะช้า หรือทำให้อาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะอาหารค้างอยู่ในหลอดอาหารเป็นเวลายาวนานกว่าปกติ
ลักษณะของกรดไหลย้อน ลักษณะของกรดไหลย้อนมีนานัปการอาการขึ้นกับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองจากกรด
* แสบร้อนรอบๆทรวงอกและลิ้นปี่ (heartburn) อาจมีเจ็บปวดรวดร้าวไปที่รอบๆคอ รู้สึกเหมือนมีก้อนจุกอยู่ที่คอ กลืนลําบาก กลืนเจ็บ เจ็บคอ แสบคอ
* จุกแน่นหน้าอกเสมือนอาหารไม่ย่อย มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือฟันผุร่วมด้วยได้
* ท้องเฟ้อ แน่นท้อง อ้วก คลื่นไส้หลังรับประทานอาหาร
* เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนรุ่งเช้า อาจมีเสียงไม่ปกติไปจากเดิม มีเหตุที่เกิดจากกรดที่ไหลย้อนขึ้นมารอบๆกล่องเสียง กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดกล่องเสียงอักเสบ
* ไอแห้งๆกระแอมบ่อยครั้ง มีลักษณะอาการไอเรื้อรัง โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังรับประทานอาหาร หรือขณะนอน รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในยามค่ำคืน
* บางคนอาจมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล มีน้ำมูกไหลลงคอ หูอื้อ หรือปวดหูได้
อาการแสบร้อนกึ่งกลางหน้าอกเป็นสภาวะที่ร้ายแรงหรือไม่ ?สำหรับผู้ที่มีอาการไม่ร้ายแรงมากมายรวมทั้งอาการกำเริบไม่บ่อย บางทีอาจรู้สึกหงุดหงิดราวกับถูกก่อกวนการใช้ชีวิต แต่ในผู้ที่เป็นเรื้อรัง หรือมีอาการบ่อยมากในหนึ่งวัน หรือในหนึ่งอาทิตย์ อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
วิธีรักษากรดไหลย้อน การดูแลรักษาโรคกรดไหลย้อนอย่างถูกทางจะช่วยป้องกันไม่ให้มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆลดความทุกข์ทรมานสาหัส การดูแลและรักษาโรคกรดไหลย้อน สามารถรักษาได้หลายวิธี ดังต่อไปนี้
*
กินยาลดกรด เพื่อลดการหลั่งกรดในกระเพาะ ช่วยรักษาแล้วก็กันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ควรจะรับประทานตามแพทย์สั่ง
*
ยาลดกรดที่มีส่วนประกอบของอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (aluminium hydroxide) และแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (magnesium hydroxide) ยานี้จะลดความเป็นกรดอย่างรวดเร็ว อาการแสบร้อนกลางอกจะดียิ่งขึ้น ส่งผลต่อระบบขับถ่ายได้น้อย
*
ยาที่ออกฤทธิ์ลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้า แม้กระนั้นสามารถลดกรดได้นานนานถึง 12 ชั่วโมง อาทิเช่น ไซเมทิดีน (cimetidine) ฟาโมทิดีน (famotidine) นิซาทิดีน (nizatidine) รวมทั้งรานิทิดีน (ranitidine)
*
ยาที่ป้องกันการสร้างกรดและก็รักษาหลอดอาหาร เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยั้งการหลั่งกรดได้ช้านานทำให้เนื้อเยื่อที่เสียหายของหลอดอาหารมีเวลาฟื้นฟูกลับมาปกติได้เหมือนเดิม
*
เปลี่ยนแปลงความประพฤติ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่จะช่วยลดอาการต่างๆของกรดไหลย้อน
*
หลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะ เป็นต้นว่า อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มคาเฟอีน น้ำอัดลม กระเทียม หัวหอม ฯลฯ
*
เครียดน้อยลง อาทิเช่น นอนพักให้พอเพียง ออกกกำลังกาย นั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือทำกิจกรรมต่างๆที่ถูกใจ ก็จะช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะได้อย่างดีเยี่ยม
*
ควบคุมน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอ้วน หรือคนที่น้ำหนักเกินมาตรฐานมาตรฐาน หมั่นออกกำลังกายรวมทั้งควบคุมอาหารที่กิน เมื่อน้ำหนักลด ความดันในกระเพาะอาหารก็จะลดลง ทำให้กรดรวมทั้งอาหารในกระเพาะดันหูรูดหลอดอาหารลดลง
*
หลีกเลี่ยงการนอนราบ หรือการก้มจับของในทันทีหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ควรรอให้อาหารย่อยก่อน 2-3 ชั่วโมง และไม่ควรจะบริหารร่างกายหลังรับประทานอาหารเสร็จทันทีเช่นเดียวกัน เพราะว่าจะทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย
*
ควรรับประทานอาหารทีละน้อยๆแต่ว่าบ่อย ดังนี้เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากจนเกินไป
*
ผ่าตัด *
บรรเทาลักษณะของกรดไหลย้อนด้วยสมุนไพร * เหมาะกับผู้ที่รักษาด้วยยาเป็นระยะเวลานานแล้ว ไม่สามารถควบคุมอาการ หรือหยุดยาได้
* เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถกินยาได้เป็นระยะเวลานานๆแล้วก็ได้รับผลกระทบจากยา
*
ขมิ้นชัน จากงานศึกษาเรียนรู้วิจัยมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า ขมิ้นชันมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการหลั่งมูกในกระเพาะ ช่วยรักษาแผล ต้านแบคทีเรีย แล้วก็ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะได้
*
ขิง มีฤทธิ์ช่วยขับลม ลดอาการท้องอืด ท้องอืดจากอาหารไม่ย่อย ทำให้อาการต่างๆที่เกิดขึ้นจากกรดไหลย้อนลดลงได้
*
กะเพรา มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้ โดยให้นำกะเพรา 1 กำ มาต้มกับน้ำโดยประมาณ 2-3 ลิตร ด้วยไฟปานกลาง 20 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว (250 ml) หลังรับประทานอาหาร 3 มื้อ แล้วก็ควรดื่มหลังรับประทานอาหารแล้ว 10-15 นาที
ถึง
โรคกรดไหลย้อน มิได้มีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต แต่กระตุ้นให้เกิดความทรมาทรกรรม รบกวนการใช้ชีวิตในทุกวัน และทำให้มีคุณภาพชีวิตแย่ลง จุดหมายสำคัญในการรักษาโรคนี้เป็น ลดจำนวนกรดในกระเพาะและก็ป้องการไม่ให้กรดไหลย้อนกลับไปขึ้นไป
https://www.honestdocs.co/gerd