เรื่องเล่าโต๊ะจีน (ประวัติโต๊ะจีน)

หากพูดถึง “โต๊ะจีน” เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงนึกถึงภาพอาหารอันโอชะบนโต๊ะจัดเลี้ยงในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ กันใช่ไหมคะ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องความเป็นมาของโต๊ะจีนในประเทศไทยและความหมายของอาหารโต๊ะจีนกันค่ะ

คำว่า “โต๊ะจีน” สันนิษฐานว่ามาจากวัฒนธรรมการกินอาหารของชาวจีน การกินแบบคนจีนคือการนั่งกินบนเก้าอี้ ซึ่งแตกต่างจากคนไทยที่นั่งกินบนพื้น เพราะเป็นวัฒนธรรมจีนที่สืบกันต่อมาอย่างยาวนาน คนจีนมักอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ และมักอยู่อาศัยในบ้านเดียวกัน เป็นลักษณะที่เรียกว่า "กงสี" ทำให้เกิดวัฒนธรรมการทานอาหารร่วมกันแบบนั่งล้อมโต๊ะพร้อมหน้ากันในหมู่ญาติ พี่น้อง

วัฒนธรรมในการทานอาหารร่วมกันของคนจีน โดยเฉพาะคนชั้นสูงที่ให้ความสำคัญกับการจัดเลี้ยงอาหารให้กับแขก คนที่คบค้าสมาคม หรือแม้กระทั่งการจัดเลี้ยงภายในครอบครัว ชาวจีนมักจะใช้ช่วงเวลาร่วมโต๊ะอาหารในการพูดคุยเจรจา แสดงความห่วงใยหรือแสดงความปรารถนาดีต่อกัน รวมไปถึงการอบรมลูกหลานให้รักใคร่กลมเกลียวกัน

อย่างที่ทราบกันดีว่าครอบครัวจีนจะให้ความสำคัญกับเครือญาติ สายสัมพันธ์ครอบครัว เพื่อนฝูง การที่จัดเลี้ยงโดยใช้โต๊ะกลมไม่มีลำดับหัวท้ายแสดงให้เห็นถึงความเสมอภาค โดยทั่วไปมักจัดตำแหน่งให้เจ้าภาพหันหน้าไปทางประตู เพื่อให้เจ้าภาพสามารถมองเห็นแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแล้วจะได้ออกไปต้อนรับได้อย่างทันท่วงที

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าโต๊ะจีนเข้ามาในประเทศไทยช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นมีชาวจีนเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก การเข้ามาของชาวจีนมิได้นำมาเพียงแค่เรื่องการค้าขายเท่านั้น เพราะชาวจีนได้นำวัฒนธรรมทางด้านอาหารและวัฒนธรรมการกินเข้ามาในประเทศไทยด้วย วัฒนธรรมด้านอาหารการกินของชาวจีนนับว่าเป็นวัฒนธรรมที่ละเอียดลออ คือ ใส่ใจในรายละเอียดขั้นตอนต่าง ๆ อย่างประณีต ซึ่งจะเห็นได้จากเมนูอาหารที่นำมาจัดวางบนโต๊ะจีน จะต้องเป็นเมนูที่มีความหมายในทางที่ดี มีการจัดตกแต่งจานอย่างสวยงามน่ารับประทาน โดยปกติจะมีประมาณ 8 – 10 เมนู และการจัดเสิร์ฟจะต้องเป็นไปอย่างมีลำดับขั้นตอน

-ชุดที่ 1 โดยเริ่มจากการเมนูเรียกน้ำย่อย หรือออร์เดิร์ฟ เช่น ถั่วลิสงคั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น
-ชุดที่ 2 ต่อมาจะเสิร์ฟเป็นจำพวกซุปข้น เช่น กระเพาะปลา หูฉลาม เป็นต้น
-ชุดที่ 3 หลังจากซุปข้นต่อมาจะเป็นอาหารกลุ่มเมนูข้าว และเนื้อสัตว์ (เนื้อสัตว์มงคล) เช่น ข้าวผัดหมู ข้าวผัดกุ้ง เป็ดย่าง ปลานึ่ง เป็นต้น อย่างที่บอกไปว่าอาหารกลุ่มนี้มีเนื้อสัตว์มงคลมาด้วย หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง กุ้ง แทน มังกร หมายถึง ความมีอำนาจ ลาภ ยศ เงินทองไหลมาเทมา ไก่ แทน หงส์ หมายถึง ความก้าวหน้า เป็ด เป็นมงคลของชีวิต ทำให้ชีวิตมีแต่สันติ ร่มเย็น ปลา มีความมงคลในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทำให้มีเงินเหลือกินเหลือใช้ เป็นต้น
-ชุดที่ 4 ต่อมาเป็นอาหารกลุ่มซุปใส จัดมาเพื่อล้างปากหรือตัดเลี่ยนหลังจากที่ทานมาหนัก ๆ
-ชุดที่ 5 หลังจากนั้นจะเป็นเมนูอิ่ม เมนูอิ่มมาอยู่ลำดับหลังสุดเนื่องมาจากความเชื่อของชาวจีนที่จะต้องเลี้ยงดูแขกอย่างดี จึงจัดอาหารดี ๆ มาก่อน และส่งท้ายด้วยเมนูหนัก ๆ สำหรับแขกที่ยังไม่อิ่ม
-ชุดที่ 6 สุดท้ายจะเป็นเมนูของหวานหรือจำพวกอาหารหวานทั้งหลาย เป็นความเชื่อที่ว่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขหอมหวาน ปราศจากความขมขื่นดังรสชาติของอาหาร

อาหารแต่ละเมนูล้วนมีความหมายที่แฝงความเชื่ออยู่ในนั้น เช่น ซุปหูฉลามแสดงถึงความมั่งมี หมูหัน แทนความบริสุทธิ์ เพราะหมูหันนั้นทำมาจากลูกหมู เป็ดปักกิ่งและกุ้งมักเสิร์ฟทั้งตัว คือมีหัวและมีขาด้วย เพื่อแสดงถึงความครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นต้น อาหารที่อยู่บนโต๊ะจีนล้วนแต่ผ่านการปรุงรสอย่างใส่ใจ มีการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การจัดจานหรือตกแต่งหน้าตาอาหารให้น่ารับประทานก็ถือเป็นจุดเด่นของอาหารจีน รวมถึงมีการจัดเสิร์ฟอย่างเป็นขั้นตอน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะจัดอย่างไรก็ได้ เพราะทุกอย่างต้องมีแบบแผนและวิถีปฏิบัติอย่างมีวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ถูกใจแขกหรือผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก

จากที่เล่าไปก่อนหน้านี้ว่าอาหารจีนเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย เมื่อมีงานเลี้ยงงานสังสรรค์ ก็มักจะมีการจัดเลี้ยงโต๊ะจีน เช่น งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานบวช งานเลี้ยงเฉลิมฉลองต่าง ๆ ฯลฯ เนื่องจากเจ้าภาพจะได้รับความสะดวกสบาย เพราะถ้าหากจ้างบริษัทที่รับจัดเลี้ยงโต๊ะจีนมาโดยตรงก็จะช่วยผ่อนภาระเจ้าภาพได้มาก ฉะนั้นงานเลี้ยงในปัจจุบันจึงนิยมจัดเลี้ยงแขกในงานด้วยโต๊ะจีน ทำให้มีธุรกิจรับจัดเลี้ยงโต๊ะจีนเกิดขึ้นมากมาย และหากเราจะจ้างบริษัทรับจัดเลี้ยงแต่ละครั้งเราก็ควรเลือกร้านที่ดีอย่างร้านลุงเล็กโต๊ะจีน www.lunglek.com เพราะเป็นร้านที่มีคุณภาพได้มาตรฐานด้วยนะคะ

ที่มา : www.lunglek.com

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน